ช้อปดีมีคืน กับ โครงการคนละครึ่ง

ลงทะเบียนมาตรการคนละครึ่ง หรือ ช้อปดีมีคืน โครงการไหนคุ้มกว่ากัน?

ปลายปี 2564 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 ไปจนถึงธันวาคม 2563 ทางรัฐบาลไทยของเรานั้นมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเยอะมากๆ ยกตัวอย่างเช่น โครงการช้อปดีมีคืน หรือ โครงการคนละครึ่ง แถมยังมีมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจนผ่านการเพิ่มเงินเข้าบัตรให้รายละ 500 บาทอีกด้วย ในส่วนของการท่องเที่ยวภายในประเทศไทย

คนไทยหลายๆคนอาจจะยังไม่ทราบว่า เราสามารถเลือกเข้าร่วมได้เพียง 1 มาตรการเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นถ้าเลือกลงทะเบียน คนละครึ่งไปแล้ว จะไม่สามารถใช้สิทธิ์ในโครงการ ช้อปดีมีคืนได้อีก เพราะฉะนั้นเราควรจะเลือกเข้าร่วมมาตรการที่ตอบโจทย์เราได้มากที่สุด วันนี้ทาง ACCESSTRADE ประเทศไทยได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ 2 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว เพื่อเป็นข้อมูลให้กับประชาชนที่สนใจจะลงทะเบียน จะได้ไม่พลาด

ความแตกต่างของมาตรการ ช้อปดีมีคืน และ คนละครึ่ง

โครงการคนละครึ่ง

ประโยชน์และเงื่อนไข มาตรการคนละครึ่ง

  • รัฐบาลจ่ายค่าซื้อสินค้าให้ 50% ไม่เกินวันละ 150 บาทต่อคน ตลอดทั้งโครงการ ให้สูงสุดไม่เกิน 3,000 บาท
  • ใช้สิทธิซื้อสินค้าได้กับร้านอาหาร, เครื่องดื่ม, สินค้าทั่วไปที่เข้าร่วมโครงการ, หาบเร่, แผงลอย, ร้านค้าในตลาด ฯลฯ
  • ไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้กับสินค้าประเภท สลากกินแบ่งรัฐบาล, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ยาสูบ และ การบริการ
  • การจ่ายเงินจะต้องทำการจ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชั่น เป๋าตัง เท่านั้น โดยผู้ที่เข้าร่วมโครงการจะต้องทำการเติมเงินเข้าแอปฯ เป๋าตังให้เรียบร้อยก่อนซื้อสินค้า จากนั้นนำไปสแกนกับแอปพลิเคชั่นถึงเงิน ของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ

ใครสามารถลงทะเบียนได้บ้าง

  • ต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย และมีบัตรประจำตัวประชาชน
  • ต้องมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน
  • ไม่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

ประโยชน์และเงื่อนไข ช้อปดีมีคืน

โครงการช้อปดีมีคืน

  • สามารถนำค่าใช้จ่าย ในส่วนของการซื้อสินค้า หรือ บริการมาลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง ลดหย่อนภาษีสูงสุด 30,000 บาท
  • จำนวนที่สามารถลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับรายได้ของแต่ละคน ว่าต้องเสียภาษีขั้นไหน สามารถดูขั้นบันไดของอัตราการคืนภาษี ช้อปดีมีคืน ได้ที่นี่
  • ไม่สามารถใช้สิทธิซื้อหนังสือ และสินค้า OTOP ที่ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชน โดยมีใบเสร็จรับเงิน
  • ซื้อสินค้าและบริการจากร้านที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และต้องออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป
  • ไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้กับสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ยาสูบ, สลอกกินแบ่งรัฐบาล, ค่าน้ำมันและก๊าซสำหรับเติ้มยานพาหนะ, ค่าที่พักโรงแรม, ค่าบริการนำเที่ยว, รถจักรยานยนต์, ค่าหนังสือพิมพ์และนิตยสาร, ค่าบริการหนักสือพิมพ์ และ นิตยสารที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ internet

ช้อปดีมีคืน VS คนละครึ่ง เลือกมาตรการไหนดี?

เนื่องจากทั้ง 2 มาตรการดังกล่าว ประชาชน สามารถเลือกเข้าร่วมโครงการได้เพียงแค่โครงการเดียวเท่านั้น ทำให้ประชาชนหลายๆคนต้องศึกษาถึงมาตรการดังกล่าว และเงื่อนไขให้ดีๆเพื่อที่จะได้รับประโยชน์ของโครงการดังกล่าวได้มากที่สุด สำหรับรายละเอียดและความคิดเห็นสามารถดูได้ด้านล่าง

คนละครึ่ง

  • เหมาะกับคนที่ซื้อสินค้าจากร้านค้าขนาดเล็ก, ตลาด, ร้านโชห่วย, หาบเร่ ฯลฯ เป็นประจำ
  • คนที่ไม่ต้องเสียเภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี เช่น มีรายได้รวมทั้งปีไม่เกิน 310,000 บาท หรือมีเงินเดือนเฉลี่ยงไม่เกิน 25,833.33 บาท ต่อเดือน
  • คนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่เสียภาษี คือมีรายได้รวมทั้งปีเกิน 310,000 บาท แต่มีค่าลดหย่อนภาษีในส่วนอื่นๆ ทำให้มีรายได้สุทธิไม่ถึง 150,000 บาท ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีในปี 2563

ช้อปดีมีคืน

  • เหมาะกับคนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ และต้องเสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล คือเป็นบุคคลาที่มีรายได้เกิน 310,000 บาท และต้องการซื้อสินค้าจากซูเปอร์มาร์เก็ต, สินค้าจากห้างสรรพสินค้า, สินค้าและบริการจากร้านที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปได้
  • คนที่มีฐานภาษีอัตราสูงจะได้รับประโยชน์มากกว่า เพราะว่าจะได้รับส่วนลดจากการซื้อสินค้ามากกว่า ยกตัวอย่างเช่น หากซื้อสินค้า 10,000 บาทคนที่มีฐานภาษี 5% จะได้รับลดหย่อนภาษีเพียง 500 บาท ในขณะที่คนที่มีฐานภาษี 30% จะได้ลดหย่อนภาษี 3,000 บาท ดังนั้นคนที่มีฐานภาษีไม่สูงมากเช่น 5% หรือ 10% อาจจะยอมเลือกเสียภาษีตามปกติ
  • การเข้าร่วมโครงการช้อปดีมีคืน เพื่อลดหย่อนภาษี ควรจะคิดก่อนที่จะลงทะเบียน ว่าเราจำเป็นจำต้องซื้อสินค้าเพื่อนำไปลดหย่อนภาษีมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าเราจะต้องจ่ายเงินเองเป็นจำนวนมากกว่าส่วนลดที่เราจะได้รับ

**สำหรับโครงการช้อปดีมีคืน ถ้าเป็นบุคคลที่ต้องการซื้อสินค้าเหล่านี้อยู่แล้ว ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ที่จะเข้าร่วมโครงการ เนื่องจากจะได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีไปในตัว แต่ถ้าไม่มีแผนจะใช้จ่ายซื้อสินค้าเหล่านี้ การไม่เข้าร่วมโครงการแล้วยอมเสียภาษีตามปกติ น่าจะช่วยให้ประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากกว่า