SEO คืออะไร?

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization คือ การใช้พื้นที่บน search engine ให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด เกิดการเปลี่ยนรูปแบบกลายเป็นการจัดการหน้าเว็บของเราเองให้มีข้อมูลที่ครอบคลุมความต้องการของกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด เพื่อให้ขึ้นหน้าแรกของการค้นหาบน Google Search Engine ที่กลายคนทราบกันดี เนื่องจาก ในช่วงปี 2014-2015  คนนิยมไปรวมกันอยู่บน Social media จึงมีการปรับเพื่อดึงดูดคนให้เข้าสู่เว็บไซต์ เพราะการทำ SEO เป็นช่องทางในการจับการขายได้สูง กล่าวคือ มีแรงกระตุ้นสูงกว่าช่องทางอื่น เช่น บน Facebook คนจะไม่ได้สนใจสินค้าตั้งแต่แรก จากนั้นมีการลงโฆษณาบนไทม์ไลน์ของกลุ่มเป้าหมายจึงเห็น และรับรู้ถึงการมีอยู่ของสินค้า อาจไม่ได้ทำให้เกิดการซื้อเพราะคนอาจเลื่อนผ่านไป ต่างจาก Google ที่คนมีความต้องการอยู่ก่อนแล้ว จึงค้นหาก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งมีผลต่อการขายได้สูงมาก

หากหน้าเว็บมีการจัดการ SEO ที่ดีการมาของ Google มีจุดมุ่งหมายคือการเป็น Search Engine อันดับ 1 ของโลก แม้ว่า Google จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่เป็นการเติบโตขึ้นในอัตราที่ลดลง ทำให้ Google พยายามที่จะพัฒนา การทำงานใหม่ๆขึ้นมาอยู่ตลอด ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งาน Google สำหรับค้นหาประมาณ 90% ของประชากรผู้ใช้ search engine ทั้งหมด

แต่อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของผู้ใช้งานและความต้องการของผู้ใช้แต่ละคนไม่เหมือนกัน Google จึงพยายามหาข้อมูลหรือสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการให้ตรงความต้องการมากที่สุด จึงเป็นที่มาของ Google Chrome เบราว์เซอร์ที่มีมาไว้เพื่อ support การทำงานของ Google ให้ข้อมูลของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการพัฒนาระบบ Android ที่เริ่มจากการเข้ามาของ Mobile Device ที่มีบทบาทต่อการค้นหาในยุคปัจจุบัน ซึ่งช่วยเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานและความสนใจของผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งการจัดการระบบการค้นหาของ Google นั้นอาศัย Google Search Algorithm ที่ทำหน้าที่ในการจัดอันดับในหน้าแสดงผลการค้นหา ซึ่งมีความแตกต่างกันไปตามหน้าที่ของอัลกอริทึมนั้นๆ


ซึ่งรูปแบบของอัลกอริทึมต่างๆ สามารถนำมาปรับใช้กับการทำ SEO เพื่อทำการตลาดออนไลน์ แต่บางครั้งพบว่าหลายคนเมื่อรู้ว่าต้องใส่ Keyword จำนวนมากๆนั้นจะดี เพื่อจะได้ติดอันดับบนหน้าผลการค้นหา จนกลายเป็น Keyword Suffering ซึ่งเป็นวิธีการที่ผิด เพราะ Google จะทำการตรวจเว็บไซต์ประเภท Over Use Word ทำให้ไม่สามารถขึ้นหน้าผลการค้นหาได้

สิ่งที่นักการตลาดต้องคำนึงถึงเพื่อการทำการตลาดออนไลน์ คือ อย่าโฟกัสที่ส่วนของช่องทางออนไลน์อันใดอันหนึ่ง ควรทำให้ balance ในทุกส่วนและทำอย่างเหมาะสม เช่น วิธีการที่ผิดในการ Boost Post บน Facebook อย่างเดียว ซึ่งทำให้คนเห็นเพียง 1-7 วินาทีเท่านั้น จึงจำเป็นที่จำปรับในส่วนของเว็บไซต์เพื่อการหาข้อมูลของลูกค้าหรือผู้ที่สนใจด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างยอดขาย

เนื่องจากข้อมูลที่คนค้นหาบน Google มีเพียง 20% เท่านั้นที่ถูก Analyze แล้ว แต่ Google ยังมองทุกอย่างบนเว็บไซต์เป็นแบบ Coding แล้วใช้ Robot ในการวิเคราะห์ จึงมีความจำเป็นที่เราต้องจัดการในส่วนเว็บไซต์ให้ดีในส่วน Index-able Data บนหน้าเว็บ ไม่ว่าจะเป็นการใส่ Keyword, Heading, Context เป็นต้น ซึ่งในการทำ SEO นั้นมักจะเกี่ยวข้องกับทุกๆส่วนภายในเว็บไซต์เรา รวมถึงการเชื่อมโยงกับภายนอกเว็บไซต์ โดยประกอบไปด้วย 2 ส่วนที่ทำให้เกิดผลของการค้นหา ได้แก่

  1. On Page คือ ทุกสิ่งอย่างที่อยู่บนเว็บไซต์ของเรา ได้แก่ Content ที่มีองค์ประกอบเช่น Keyword, Coding กับการจัดการ UX (User Experience), Performance ความเร็วของเว็บไซต์และ Structure ของเว็บไซต์
  2. Off Page คือ ส่วนของการเชื่อมโยงจากภายนอกเว็บไซต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น การ Review จาก pantip หรือช่องทางอื่นๆที่อาจจะมีทั้งแง่บวกและแง่ลบ เป็นต้น

โดยส่วนสำคัญที่ควรจัดการก่อนการทำ SEO มีดังนี้

1. Objective วัตถุประสงค์ของการทำ SEO คืออะไร? ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไปตามแต่ละบริษัทกำหนด เช่น เพื่อการขายสินค้า (sale) หรือ เพื่อการทำให้มี Subscriber เพิ่มขึ้น หรือ เพื่อโปรโมทสินค้าใหม่ รวมถึงเพื่อการทำ Branding หรือในกรณีอื่นๆ เช่น การทำให้ชื่อเสียงของแบรนด์หรือตัวสินค้าถูกพูดถึงในด้านดีเพิ่มมากขึ้น ควรมีการกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน

2. Landing Page หน้าเว็บไซต์ที่คนเข้ามาถึงเป็นหน้าแรกคือหน้าใด? โดยจะเป็นหน้าที่ถูกออกแบบ และสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์อะไรบางอย่าง แค่เพียงอย่างในอย่างหนึ่ง เช่น เพื่อการขายสินค้า (sale) ดังนั้นหน้า Landing page ควรเป็นหน้าสินค้าที่ถูกค้นหา โดยหน้านั้นควรออกแบบให้ลูกค้ารับรู้ข้อมูลของสินค้าอย่างละเอียด รวมถึงสามารถกดสั่งซื้อได้เลย หรือ กรณีเพื่อการขายสินค้าโปรโมชั่น Landing page ก็ควรเป็นหน้ารวมสินค้าโปรโมชั่น เป็นต้น ซึ่งวิธีที่ผิดในการทำ SEO คือการวางหน้าแรกของเว็บไซต์เป็น Landing page เพราะหน้าแรกของบางเว็บไซต์ไม่ได้สัมพันธ์กับการค้นหาของลูกค้า อาจไม่ทำให้เกิดมูลค่าใดๆต่อธุรกิจ

3. Timeline ช่วงเวลาของการท า SEO นั้นควรมาช่วงเวลาใดและระยะเวลายาวนานเพียงใด? จะสามารถกำหนดเป็นระยะสั้น (short term) ระยะยาว (long term) หรือไม่กำหนดช่วงเวลา (No deadline) เช่นเพื่อการขายสินค้าโปรโมชั่น อาจใช้ช่วงระยะเวลาระยะสั้น หรือ เพื่อขายสินค้าทั่วไปหรือการทำใหคนรู้จักแบรนด์ของคุณ อาจต้องทำในระยะยาว หรือ ไม่มีการกำหนดระยะเวลา เป็นต้น

4. Resource ของเว็บไซต์มีความพร้อมมากเพียงพอต่อการทำ SEO หรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อม ควรมีการจัดการให้ดี เช่น Keyword, Content, Design, Coding และ Server เป็นต้น


อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญประการหนึ่งในการทำ SEO คือการจัดการโครงสร้าง infrastructure ของเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็น

  • Host/Server Location ที่มักจะมีผลกับเว็บไซต์ที่เกิดใหม่ และในส่วน Server Speed ความเร็วของเว็บไซต์ นั้นมีผลมากขึ้นต่อการทำ SEO เพราะ Google อาจจัดอันดับตามระดับความเร็ว คือ ต้องคำนึงว่าเซิร์ฟเวอร์สามารถรองรับจำนวนผู้ใช้งานได้มากน้อยเพียงใด
  • Error-time/up-time และ Performance ของเว็บไซต์ซึ่งสามารถวัดประสิทธิภาพด้วย Page Speed Insights ที่พัฒนาโดย Google Developers โดยระดับที่ยอมรับได้คือ 95 ขึ้นไป ช่วง 90-100 จะอยู่ในระดับเร็วมากนั่นเอง
  • การจัดการ Domain Name ชื่อของโดเมนที่มีผลต่อความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
  • การจัดการ Site Structure เช่นการใส่ Site Map และการจัดการเมนู หรือ Navigation ที่มีผลต่อการค้นหาแต่ Google เริ่มมีแนวโน้มการให้ความสำคัญน้อยลง เช่น การทำ URL structure ของแต่ละเพจไม่ควรมีการจัด Directory ที่ยาวจนเกินไปแต่ต้องดูความเหมาะสมกับรูปแบบของเว็บไซต์ด้วย เช่น
    • เว็บประเภท community แบบ Pantip อาจทำ URL เป็น https://www.pantip.com/ชื่อtopic/เลขid ของหัวข้อนั้นๆที่มีการลำดับจำนวนตัวเลขแตกต่างกันไป เนื่องจาก content มีจำนวนมากทำให้ยากต่อการตั้งชื่อ URL นั่นเอง
    • กรณีเป็นเว็บประเภทขายสินค้าหรือ shopping online ควรจะมีการจัดทำ URL ในลักษณะ Site Silo คือจัดเป็นหมวดหมู่ ตัวอย่างเช่น https://www.lazada.com/womens-fasion/bag ซึ่งข้อดีของการจัดแบบนี้คือเวลาทำ SEO จะช่วยให้ Google โฟกัสเป็นกลุ่มๆได้ง่ายขึ้น

แต่อย่างไรก็ตามควรมีการศึกษา User Journey เพื่อการปรับปรุงการทำงานของ SEO และการเพิ่มข้อมูลที่จำเป็นต่อการค้นหาให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ก่อนการทำ Online Marketing ทุกรูปแบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพต่อเว็บไซต์ของคุณเอง