ใครทำ SEO แล้วไม่ติดมาเช็คสาเหตุตรงนี้

สำหรับใครที่กำลังเรียนรู้ที่จะทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เพื่อให้เว็บไซต์ของตนเอง หรือ เว็บไซต์ของบริษัทติดอันดับบน Google อาจจะต้องศึกษาเยอะๆ เนื่องจากทาง Google Search ที่เป็น Search Engine ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเขามีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกเว็บไซต์ที่มีคุณภาพซึ่งใช้หลักเกณฑ์กว่า 200 ข้อเลยทีเดียว ใครที่ทำถูกตรงหลักเกณฑ์ก็จะติดอันดับได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากใครทำผิดหลักเกณฑ์เว็บของคุณก็อาจจะหาไม่เจอเลยก็ได้ Website Developer หลายๆท่านที่เน้นในเรื่องการทำ SEO ส่วนใหญ่อาจจะมีคำถามออกมาค่อนข้างเยอะ ว่าทำไมทำ SEO แล้วไม่ติดสักที วันนี้ทาง ACCESSTRADE ประเทศไทยได้รวบรวมสาเหตุที่หลักๆ ที่ว่าทำไมทำ SEO แล้วเว็บไซต์ติดอันดับมาให้อ่านกันทาง Publisher สามารถนำไปปรับใช้เพื่อเป็นแนวทางในการทำ Affiliate Marketing ให้สามารถเพิ่มยอดให้ได้มากยิ่งขึ้น

สาเหตุที่ว่าทำไมทำ SEO แล้วเว็บไม่ติดอันดับ มันมีหลากหลายสาเหตุมากๆ สำหรับเบื้องต้นที่เราสามารถเช็คหรือตรวจสอบได้ จะมีหัวข้อหลักๆอยู่ 6 หัวข้อด้วยกัน เพื่อนๆสามารถนำไปอ่านแล้วทำความเข้าใจเพื่อนำไปปรับใช้กับเว็บไซต์ของตนเอง หรือ เว็บไซต์ที่ตนเองดูแลอยู่ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอัพเดทได้ด้านล่าง

6 สาเหตุเว็บที่ทำ SEO แล้วไม่ติด

1. Backlink: อันดับแรกเลยต้องบอกก่อนว่าการทำ Backlink สำคัญกับการทำ SEO มากๆ โดยเฉพาะนักการตลาดที่ต้องการติดใน Keyword ที่ต้องการให้ติด การทำ Backlink เฉพาะเจาะจงในคำนั้นๆ สามารถทำให้เราติดอันดับใน Keyword ที่มีการแข่งขันสูง สำหรับ Keyword ที่มีการแข่งขันสูงจะเป็นพวก Keyword ที่มีคนหาเยอะๆ ถ้าเป็นในมุมมองของนัก Affiliate Marketer ก็จะเป็น Keyword ที่มันสามารถทำเงินได้นั่นเอง
2. Content: เคยได้ยินคำว่า Content is King กันบ้างรึเปล่า คำนี้ยังใช้ได้เสมอ ถ้าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่มี Content ที่มีคุณภาพ สามารถดึงคนให้อ่านเว็บไซต์ของคุณได้เป็นระยะเวลานานๆ Google จะมองว่าเว็บนั้นมีคุณภาพ และจะทำให้อันดับของเว็บไซต์ของคุณดีขึ้น สิ่งสำคัญสำหรับคนที่ทำ SEO พลาดบ่อยๆก็คือ การทำ Keywords stuffing โดยการทำ Content ขึ้นมามุ่งเน้นให้ Content นั้นติด Keyword ที่ต้องการโดยใส่ Keyword นั้นไปทุกๆ Paragraph แบบนี้เราเรียกว่าการ Keywords stuffing ทำยังไงก็ไม่ติดอันดับแน่นอน และอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการทำ SEO ก็คือไม่ควร Copy Content จากคนอื่น Google ฉลาดมากกว่าที่คุณคิด ถึงแม้ว่าคุณจะ Copy Content จากคนอื่นแล้วเปลี่ยนแปลงคำบางคำ เปลี่ยนแปลงประโยคบางประโยค Google ก็รู้อยู่ดี
3. Index: Index คือการจัดเก็บข้อมูลของ Google ซึ่งทาง Google จะส่ง Google Bot ออกมา Index เว็บก่อนถึงจะมีการจัดอันดับได้ แต่ถ้ามีปัญหาในการ Index เช่นปิดไม่ให้ Bot เข้ามา Index ทาง Google ก็จะไม่สามารถจัดอันดับเว็บของเราได้ หมายความว่าเว็บของเราก็จะไม่ติดอันดับนั่นเอง
4. UX/UI: UX หรือ User Experience คือการทำเว็บไซต์ให้เกิดประสบการณ์ที่ดีที่สุดหรือมีฟังก์ชั่นที่ดีสำหรับคนที่เข้าเว็บไซต์ของเรา สำหรับ UI หรือ User Interface คือปัจจัยต่างๆที่เชื่อมต่อกับผู้ใช้งาน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มันจะส่งผลโดยตรงกับผู้ใช้งาน นั่นก็คือ user ที่เข้าสู่เว็บไซต์ของเรานั่นเอง
5. Spam Backlink: บางครั้งคนทำ SEO ต้องการให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับเร็วๆ ก็เลยหาช่องทางผ่านการซื้อ Backlink จำนวนมากๆ ซึ่งมันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือเว็บเราอาจจะติดอันดับอย่างรวดเร็วใน Keyword ที่เราต้องการ ส่วนข้อเสียก็คือ อาจจะอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากว่า Backlink ที่เราไปซื้อไม่มีคุณภาพนั่นเอง กลายเป็นว่าเน้นปริมาณไม่เน้นคุณภาพ
6. โดน Blacklist: เว็บเราโดย Google Blacklist อยู่รึเปล่า อันดับเลยไม่ขึ้น หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า SEO สายดำ เป็นสายที่ทำ SEO แบบผิดกฎแต่ได้ผลดีมากๆ ถ้าไม่โดย Google จับได้ แต่ถ้าโดน Google จับได้ก็อย่าหวังว่าจะติดอันดับอีกเลย ก็คือการโดน Blacklist จากทาง Google นั่นเอง ซึ่งวิธีการเช็คนั่นสามารถทำได้โดยเข้าไปที่ Google Search Console

สำหรับใครที่กำลังเริ่มต้นทำเว็บไซต์ของตัวเอง หรือ ทำให้กับบริษัทอยากจะให้ทำความเข้าใจกับโครงการของ Search Engine อย่าง Google ให้เยอะๆเนื่องจากปัจจุบันมีการปรับ Google Algorithm บ่อยมากๆ ใน 1 ปี ทาง Google จะปรับ 2-3 ครั้งที่เป็นการปรับครั้งใหญ่ซึ่งเราจะเรียกว่า Core Update ปรับทีอันดับของเว็บไซต์ก็ปรับเปลี่ยนกันค่อนข้างเยอะ เว็บที่ไม่เคยติดอันดับก็อาจจะติดขึ้นมาเนื่องจากทำถูกหลัก หรือทาง Google ต้องการทดสอบคุณภาพเว็บไซต์นั้นๆ ถ้าทำถูกหลักถูกกฎ ไม่ต้องกลัวเลยว่าเว็บไซต์จะตกอันดับ แต่ถ้าทำผิดกฎผิดหลักเว็บไซต์ของคุณก็อาจจะตกอันดับได้ แนะนำให้ศึกษาแนวทางทำ SEO กันเยอะๆก่อนลงมือทำจริงจะได้ไม่เสียเวลามานั่งแก้ไขทีหลัง