สาธารณสุข แนะนำกลุ่มเสี่ยง 608 และ เด็กเล็ก ควรฉีดวัคซีนป้องกันโควิด

จากการเปิดเผยข้อมูลสำคัญจากทาง รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาเปิดเผยว่าตอนนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ของประเทศไทย มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ในสัปดาห์ที่ 42 ช่วงวันที่ 16-22 ตุลาคม 2565 มีผู้ป่วยรายใหม่ 2,616 รายโดยเฉลี่ยวันละ 373 ราย ผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมด 40 ราย โดยเสียชีวิตเฉลี่ย 5 ราย หลังจากที่ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติมากขึ้น

จากการแนะนำของกระทรวงสาธารสุข สำหรับประชาชนที่ต้องเข้าไปในพื้นที่ที่มีผู้คนหนาแน่น การระบายอากาศไม่ดี แนะนำให้ปฎิบัติตามมาตราการป้องกันตัว เช่นการสวมหน้ากากอนามัย และ ล้างมือบ่อยๆ และที่สำคัญที่สุดคือการเข้าไปรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตอนนี้มีการฉีดไปแล้วกว่า 142.8 ล้านโดส สามารถครอบคลุมเข็มปกติได้ถึง 82% ถึงแม้เข็มกระตุ้นในทุกกลุ่มจะได้รับน้อยกว่า 50% ก็ตาม

การรับวัคซีนกระตุ้นเข็ม 4

การได้รับวัคซีนโควิด กระตุ้นเข็มที่ 4 จะช่วยลดอาการรุนแรงและการเสียชีวิตได้เกือบ 100% โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง หรือที่เราเรียกกว่ากลุ่ม 608 นั่นเองถ้าหากได้รับวัคซีนมาแล้ว 2 หรือ 3 โดส เกิน 3-4 เดือน ให้มารับวัคซีนเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน และ กลุ่มเด็กเล็ก ที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 4 ปี ที่ยังไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันเลย ถึงแม้ว่าเด็กอาจจะได้รับภูมิคุ้มกับจากแม่ ตอนที่ฉีดวัคซีนตอนที่ท้องอยู่ หรือ ได้รับภูมิคุ้มกันจากน้ำนม ทางกระทรวงสาธารณสุข ยังคงแนะนำให้เข้าไปรับการฉีดวัคซีน ไฟเซอร์ฝาสีแดง ซึ่งปัจจุบันได้มีการกระจายไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อเป็นการให้บริการในคลินิกเด็กสุขภาพดี ผู้ปกครอง สามารถลงทะเบียนรให้เด็กเล็กฉีดวัคซีนโควิด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรง และ เสียชีวิต จากการติดเชื้อไวรัสโควิด 19 รวมถึงการเกิดภาวะอัพเสบของอวัยวะต่างๆ ในร่ายการเด็ก หรือ MIS-C ได้

ในช่วงฤดูหนามที่จะถึงนี้ มีการคาดการณ์ออกมาว่า การระบาดของเชื้อไวรัสก่อโรคเพิ่มขึ้นหลายโรค รวมไปถึงโควิด 19 ทั้งนี้ขอให้กลุ่มเสี่ยงทั้งกลุ่ม 608 และ เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบ มารับวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคโควิด 19 ก่อนที่จถึงฤดูหนาว โดยโรงพยาบาลต่างๆ จะมีการจัดพื้นที่ ให้บริการกลุ่มเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 4 ปี เป็นการเฉพาะ เพื่อให้ได้รับวัคซีนเร็วขึ้น สำหรับผู้ปกครองสามารถพาบุตรหลาน ไปรับวัคซีนได้ตามความสมัครใจ ไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยจะมีการฉีดวัคซีนทั้งหมด 3 เข็ม เข็มแรก และ เข็มที่สอง ห่างกัน 1 เดือน และ เข็มที่สาม ห่างจากเข็มสอง 2 เดือน