วิธีลงทะเบียนสำหรับร้านค้าเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส / คนละครึ่ง 2568

(หมายเหตุ: ยังไม่มีประกาศทางการเต็มรูปแบบสำหรับ “คนละครึ่ง พลัส / คนละครึ่ง 2568” สำหรับร้านค้าในบางจุด — บทความนี้รวบรวมจากข้อมูลปัจจุบันและประสบการณ์จากโครงการคนละครึ่งในอดีต แต่องค์ประกอบบางส่วนอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามประกาศของรัฐบาล)

เหตุผลที่ร้านค้าควรเข้าร่วม

โครงการ คนละครึ่ง / คนละครึ่ง พลัส / คนละครึ่ง 2568 เป็นมาตรการรัฐที่ช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับประโยชน์หลายประการ เช่น

  • มีลูกค้าจำนวนมากใช้สิทธิ์จ่ายผ่าน “เป๋าตัง / G-Wallet”

  • ได้รับส่วนแบ่งเงินที่รัฐช่วยจ่ายโดยอัตโนมัติ

  • เพิ่มความน่าเชื่อถือในฐานะร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการภาครัฐ

  • เป็นช่องทางการตลาดใหม่ให้ลูกค้ารู้จักร้าน

ดังนั้น การสมัครเป็นร้านค้าเข้าร่วมโครงการจึงเป็นโอกาสดีที่ร้านค้ารายย่อยไม่ควรพลาด

คุณสมบัติ / เงื่อนไขที่ร้านค้าต้องมี

ก่อนสมัคร ควรตรวจสอบว่าร้านค้าของคุณมีคุณสมบัติตรงตามที่โครงการกำหนด ดังนี้:

ข้อ รายละเอียด / เงื่อนไข
ลักษณะของร้านค้า / ประเภทร้าน ร้านอาหาร / เครื่องดื่ม / สินค้าทั่วไป / บริการ / ร้านค้าในชุมชน / ร้าน OTOP / ร้านธงฟ้า (ขึ้นอยู่กับรายละเอียดย่อยของโครงการ)
สถานะนิติบุคคล / บุคคลธรรมดา โครงการคนละครึ่งที่ผ่านมาเน้นให้ร้านค้าที่เป็น บุคคลธรรมดา มากกว่านิติบุคคล ส่วนร้านค้าที่จดทะเบียนเป็นบริษัท / นิติบุคคล อาจมีเงื่อนไขเพิ่มขึ้นหรือต้องใช้เอกสารเพิ่มเติม
ไม่เป็นร้านสะดวกซื้อ / ธุรกิจแฟรนไชส์ ร้านค้าที่เป็นแฟรนไชส์ / ร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ มักถูกยกเว้นไม่สามารถเข้าร่วมโครงการ (ตามเงื่อนไขในอดีต)
มีบัญชีธนาคาร (โดยเฉพาะของกรุงไทย) ร้านค้าต้องมีบัญชีธนาคาร (มักเป็นบัญชีกรุงไทย) เพื่อรับเงินที่รัฐช่วยจ่ายเข้ามาในระบบ “ถุงเงิน” หรือระบบของโครงการ
มีสถานประกอบการ / มีที่ตั้ง / ตรวจสอบได้ ร้านค้าควรมีที่ตั้งที่ตรวจสอบได้ เช่น ที่อยู่ร้าน, รูปถ่ายหน้าร้าน, ป้ายชื่อร้าน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบในขั้นตอนสำรวจ (site visit)
ไม่อยู่ในสถานะถูกระงับสิทธิ / ฝ่าฝืนโครงการอื่น ร้านค้าที่เคยถูกระงับสิทธิหรือฝ่าฝืนเงื่อนไขโครงการอื่น ๆ อาจถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้เข้าร่วม

หากร้านค้าของคุณมีคุณสมบัติเหล่านี้เป็นพื้นฐานแล้ว ก็สามารถดำเนินการลงทะเบียนได้

ขั้นตอนการลงทะเบียนร้านค้า (สมัครเป็นร้านค้าถุงเงิน / เข้าร่วมโครงการ)

แม้ว่าโครงการ “คนละครึ่ง พลัส / คนละครึ่ง 2568” ยังไม่มีคู่มืออย่างเป็นทางการออกมาทุกรายละเอียด แต่จากแหล่งข่าวล่าสุดและวิธีการในโครงการคนละครึ่งก่อนหน้า ขั้นตอนสำหรับร้านค้าโดยทั่วไปมีดังนี้:

ขั้นที่ 1: ติดตั้งแอป “ถุงเงิน”

  • ดาวน์โหลดแอป “ถุงเงิน” (Thung Ngern) จาก App Store (iOS) หรือ Google Play (Android)

  • หากร้านค้าเคยมีแอปถุงเงินแล้ว ให้ตรวจสอบว่าอัปเดตแอปเป็นเวอร์ชันล่าสุด (เพราะอาจมีฟีเจอร์ใหม่สำหรับโครงการ)

ขั้นที่ 2: สมัครเป็นร้านค้าใน “ถุงเงิน”

  1. เปิดแอปถุงเงิน → เลือกเมนู “สมัครเป็นร้านค้าถุงเงิน / สมัครร้านค้า”

  2. กรอกข้อมูลพื้นฐานของเจ้าของร้าน เช่น ชื่อ – สกุล, หมายเลขบัตรประชาชน, เบอร์โทรศัพท์ ฯลฯ

  3. กรอกข้อมูลร้านค้า เช่น ชื่อร้าน, ประเภทร้านค้า, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์ร้าน, รูปถ่ายหน้าร้าน, รูปเจ้าของร้านที่ปฏิบัติหน้าที่ในร้าน (ภาพขณะประกอบกิจการ)

  4. ยืนยันตัวตน / ยืนยันเบอร์โทรศัพท์ (โดยรหัส OTP)

  5. อ่านเอกสารข้อตกลงและเงื่อนไข แล้วกดยอมรับ

ขั้นที่ 3: เลือกและสมัครเข้าโครงการ “คนละครึ่ง / คนละครึ่ง พลัส”

  • เมื่อสมัครถุงเงินเรียบร้อยแล้ว ให้มองหาแบนเนอร์หรือเมนู “คนละครึ่ง / คนละครึ่ง พลัส” ภายในแอปถุงเงิน

  • กดสมัครเข้าร่วมโครงการด้วยการกดยอมรับเงื่อนไขใด ๆ ที่เกี่ยวข้อง (เช่น ข้อตกลงการใช้สิทธิ์, ความยินยอมให้ข้อมูล ฯลฯ)

  • บางร้านค้าอาจได้รับการติดตามสำรวจร้านค้าจากเจ้าหน้าที่ (ลงพื้นที่ตรวจสอบ) เพื่อยืนยันว่าร้านค้าจดทะเบียน / มีสถานประกอบการตามที่ให้ข้อมูลไว้

ขั้นที่ 4: รอผลการอนุมัติ / ตรวจสอบสถานะ

  • หลังสมัครแล้ว ร้านค้าจะได้รับผลการอนุมัติผ่าน SMS หรือแจ้งเตือนในแอปถุงเงิน (ระยะเวลาอาจอยู่ในช่วง 1–3 วันทำการ หรือมากกว่า ขึ้นกับเงื่อนไขโครงการ)

  • ถ้าร้านค้าได้รับอนุมัติ แอปถุงเงินจะแสดงปุ่ม “คนละครึ่ง” หรือเมนูที่เกี่ยวข้องให้กดใช้งานได้เลย

  • ร้านค้าต้องกดปุ่ม “คนละครึ่ง” / “ยอมรับเงื่อนไขโครงการ” เพื่อเปิดใช้งานสิทธิ์ในการรับการชำระจากผู้ใช้สิทธิ์ via QR (ภายในแอปถุงเงิน)

ตัวอย่างเสมือนจริง: ขั้นตอนร้านค้าในข่าว

เพื่อให้เข้าใจภาพรวม ผมขอสรุปตัวอย่างขั้นตอนที่ปรากฏในข่าวเกี่ยวกับ “คนละครึ่ง 2568 / ถุงเงิน” ดังนี้:

  • ร้านค้าที่ยังไม่มีแอปถุงเงิน ต้องดาวน์โหลดและติดตั้งก่อน

  • กรอกข้อมูลร้านค้า / ยืนยันตัวตน / เบอร์โทรศัพท์ / รูปถ่ายหน้าร้าน ฯลฯ

  • หากร้านค้าเคยมีถุงเงินแต่ลบแอป ให้ดาวน์โหลดใหม่และยืนยันตัวตนใหม่ ส่วนร้านค้าที่มีอยู่แล้วไม่ต้องลงทะเบียนใหม่แต่ต้องอัปเดตแอปและกดยอมรับเงื่อนไขโครงการใหม่

  • ช่องทางการลงทะเบียนอาจผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือผ่านแอปถุงเงิน หรือผ่านธนาคารกรุงไทย / จุดบริการต่าง ๆ ที่รัฐบาลกำหนด

สิ่งที่ร้านค้าควรเตรียม / เอกสารสนับสนุน

เพื่อให้การสมัครราบรื่น แนะนำให้เตรียมเอกสาร / ข้อมูลดังนี้:

  1. บัตรประชาชน (หน้าหลัง) ของเจ้าของร้าน

  2. รูปถ่ายร้านค้าที่มองเห็นป้ายชื่อร้าน ชัดเจน

  3. รูปถ่ายเจ้าของร้านขณะปฏิบัติงานในร้าน

  4. สมุดบัญชีธนาคาร (บัญชีที่ร้านค้าจะใช้รับเงิน) — หากเป็นบัญชีธนาคารกรุงไทยยิ่งสะดวก

  5. ข้อมูลที่อยู่ร้านค้า / หมู่บ้าน / เขต / จังหวัด ฯลฯ

  6. เอกสารที่อยู่ร้านค้าเพิ่มเติม (ใบเสร็จค่าน้ำ-ค่าไฟ, สัญญาเช่าพื้นที่ ฯลฯ) — เผื่อกรณีถูกตรวจสอบ

  7. แบบฟอร์มที่โครงการให้กรอก (ถ้ามี) เช่น แบบลงทะเบียน / ความยินยอม / ข้อตกลงโครงการ

หลังได้รับอนุมัติ: วิธีเริ่มรับชำระ / การใช้งานจริง

เมื่อร้านค้าได้รับการอนุมัติเข้าร่วมโครงการแล้ว ขั้นตอนที่ควรรู้ในการเริ่มรับจ่ายเงินจากผู้ใช้สิทธิ์ คือ:

  1. เปิดแอปถุงเงิน → ไปที่เมนู “คนละครึ่ง / คนละครึ่ง พลัส”

  2. กดปุ่ม “คนละครึ่ง / ใช้โครงการ” หรือ “เปิดให้รับสิทธิ์” (แล้วแต่ UI ที่แอปแสดง)

  3. ลูกค้าจะชำระผ่านแอปเป๋าตัง / G-Wallet

  4. ร้านค้าสร้าง QR Code (หรือแสดง QR ที่ระบบถุงเงินให้) ให้ลูกค้าสแกนและทำรายการ

  5. หลังการชำระ:
     - ร้านค้าจะได้รับเงินจาก ยอดส่วนของประชาชน (ที่ลูกค้าจ่าย) เข้าบัญชีร้านค้าในช่วงเวลาที่ระบบกำหนด (คืนถัดไป / เวลาเช้า) 
     - รัฐจะโอนเงิน ส่วนที่ช่วยจ่าย (สิทธิคนละครึ่ง) เข้าร้านค้าอีกส่วนในเวลาที่ระบบกำหนด (เช่น ช่วงเย็นวันนั้น / วันถัดไป)

  6. ตรวจสอบยอดรับเงินในแอปถุงเงิน / บัญชีธนาคารเพื่อให้แน่ใจว่าทุกรายการถูกต้อง

  7. เก็บหลักฐาน / สลิปการทำธุรกรรม เผื่อเกิดข้อโต้แย้ง

เคล็ดลับ &ข้อควรระวัง

  • อัปเดตแอปถุงเงินเสมอ เพื่อให้ได้รับ UI / ฟังก์ชันล่าสุดสำหรับโครงการ

  • กรอกข้อมูลให้ครบ ถี่ถ้วน และตรวจสอบความถูกต้อง (เบอร์โทรศัพท์, ที่อยู่, ชื่อร้าน)

  • ถ้าหากเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้า ให้ความร่วมมือและเตรียมเอกสารให้พร้อม

  • เก็บสำเนา / รูปถ่ายเอกสารที่ใช้สมัครไว้ เผื่อใช้ตรวจสอบย้อนหลัง

  • ตรวจสอบเงินเข้าในบัญชีธนาคารในช่วงที่ระบบโอนเงิน (ทั้งส่วนที่ลูกค้าจ่าย และส่วนที่รัฐช่วยจ่าย)

  • รู้เวลาเปิด-ปิดใช้งานโครงการ (เวลาที่ระบบเปิดให้ใช้สิทธิ์ในแต่ละวัน)

  • หลีกเลี่ยงการนำ QR ไปใช้ในแอป / ช่องทางอื่นที่ไม่ใช่โครงการ เพราะอาจผิดเงื่อนไข