คณะรัฐมนตรี ลงมติเห็นชอบ อนุมัติงบกลาง 1,000 บาท พัฒนาวัคซีนโควิด-19
จากการรายงานของรองโฆษก ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการประชุมครม. ที่ประชุมมีมติอนุมัติการจัดสรรงบ ประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 งบกลาง ในรายการเงินสำรองจ่ายในกรณีฉุกเฉิน ด้วยวงเงิน 1,000 ล้านบาท ในลักษณะเงินอุดหนุน ให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ใช้เพื่อเป็นการสนับสนุนหน่วยงานเครือข่ายการพัฒนางานด้านวัคซีนของประเทศ เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพการผลิตวัคซีนให้พร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิด-19 รวมไปถึงการสร้างขีดความสามารถในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้มีการเสนอมา
ในปัจจุบันประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการควบคุม และ ป้องการการติดต่อของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศได้อย่างดี แต่ในอนาคตก็มีความเป็นไปได้ที่ การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอก 2 จะเกิดขึ้นในประเทศไทย ทำให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มีความจำเป็น และ อาจจะใข้เป็นเครื่องมือสำคัฐ เพื่อพัฒนานวัตกรรมทางสุขภาพ เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงที่จะเป็นคำตอบในการป้องกันการควบคุมโรค และ ความหวังของทุกประเทศทั่วโลก รวมไปถึงประเทศไทย การเร่งรัดให้มีวัคซีนใช้ในประเทศเร็วขึ้น จะก่อให้เกิดผลกระทบกับเศรษฐกิจ และ สังคม รวมไปถึงความเชื่อมั่นของประเทศไทยคนไทย ต่อการกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง
แผนเพื่อการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของประเทศไทย ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งลงมติเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา การดำเนินงานตามแผนมีส่วนสำคัญ 2 ส่วนด้วยกันได้แก่
- การนำวัคซีนต้นแบบ ที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศมาทดสอบในประเทศไทย
- ขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อการผลิต ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะสั้น และ ระยะกลาง
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งแนวทาง เพื่อเป็นการพัฒนาวัคซีนต้นแบบในประเทศไทย ตั้งแต่ต้นน้ำ เป็นเป้าหมายระยะกลาง และ เป้าหมายระยะยาว เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเข้าถึงวัคซีนให้ทัน และ ยังเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศไทย ในการพัฒนา และ ผลิตวัคซีน ให้กับประชาชนคนไทยได้เร็วที่สุดอีกด้วย สถาบันวัคซีนแห่งชาติ (National Vaccine Institute, Thailand) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาล ไม่สังกัดหน่วยงานอื่นๆ แต่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้การสนับสนุน และ สร้างความร่วมมือกับสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนา และ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากการผลิตของ ประเทศจีน และ ประเทศในทวีปยุโรป ซึ่งมีแนวโน้มจะได้รับวัคซีนมาใช้ภายในต้นปี 2564 มีความเป็นไปได้ในทางเลือกที่รัฐบาล ควรลงทุน เพื่อสร้างโอกาสให้ประเทศไทย สามารถก้ามข้ามผ่าน สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ซึ่งถ้ามีวัคซีนใช้เร็วขึ้น 1 เดือน จะสามารถช่วยให้ประเทศไทย สามารถสร้างรายได้ จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ประมาณ 250,000 ล้านบาท และ ยังส่งผลทางด้านเศรษฐกิจ และ ความเชื่อมั่นของประชาชนคนไทยอีกด้วย