ช่องทางการทำการตลาดออนไลน์ (Online Marketing)

ปัจจุบันการทำการตลาดขององค์กรส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การทำ Online Marketing ทำให้การทำโฆษณาผ่านออนไลน์ (Online Ads) นั้นเป็นที่นิยม ซึ่งสิ่งสำคัญในการทำ Online Ads รูปแบบต่างๆนั้นต้องคำนึงก่อนว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเราคือใคร มีจำนวนเท่าไร เนื่องจากช่องทางในการทำโฆษณานั้นมีความแตกต่างกันไปในแต่ละช่องทาง ได้แก่


1. SEM (Search Engine Marketing) ประกอบไปด้วยส่วน Paid Search เป็นส่วนของโฆษณาที่มีค่าใช้จ่ายเป็นรายคลิกในรูปแบบของ “PPC (Pay Per Click)” เป็นการทำการตลาดผ่าน Search Engine โดยการจ่ายค่าโฆษณานั้นต้องมีคนค้นหา Keyword และคลิก Ad ที่โฆษณาโดย Landing Page ที่นำไปโฆษณาอาจจะเป็นหน้าสมัครหรือหน้าบทความที่เขียนขึ้นมาก็ได้ ตามวัตถุประสงค์ของการทำโฆษณา

2. Content Marketing การทำการตลาดผ่านการสร้างคอนเทนต์บนออนไลน์ อาจจะด้วยการทำบทความที่เป็นแบบ Advertorial Content แทรกการโฆษณาเพื่อขายสินค้า อาจจะมีการเปิดเว็บไซต์เพื่อเขียนบทความหรือการมี Social Media เช่น Facebook ที่สามารถสร้างเพจเขียนคอนเทนต์ได้เช่นกัน

3. Social Media Marketing ทำการตลาดผ่านสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Facebook, Instagram, YouTube เป็นต้น ซึ่งสามารถจ่ายค่าโฆษณาได้ในหลายรูปแบบ เห็นได้ผ่านหน้า Feed ของ Facebook ส่วนตัวของกลุ่มเป้าหมายที่ผู้โฆษณากำหนด โดยอาจกำหนดตาม Interests, Behavior, Demographic เป็นต้น

4. Affiliate Marketing การทำการตลาดบนอินเตอร์เน็ต ในรูปแบบการโปรโมทสินค้า โดยอาศัยตัวแทนโฆษณา ตัวแทนจำหน่าย รวมถึงผู้รีวิวสินค้า โดยคนเหล่านี้ได้รับผลตอบแทนในรูปแบบค่าคอมมิสชั่นจากเจ้าของสินค้าหรือบริการนั้นๆ ซึ่งรูปแบบการทำการตลาดแบบนี้กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน >>อ่านเพิ่มเติม<<

5. Email Marketing การทำการตลาดในรูปแบบการส่งอีเมลข้อมูลข่าวสารหรือโปรโมชั่นใหม่ๆ ไปยังเมล์ของลูกค้าหรือสมาชิกที่ทำการ Subscribe ผ่านช่องทางอื่นๆ


ซึ่งปัจจุบันได้มีการวิเคราะห์อัตรา Traffic ของแต่ละช่องทางที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า พบว่า Organic search นั้นเป็นอันดับหนึ่งอยู่ที่ 37% ซึ่งทำให้ SEO มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น หรือช่องทางอื่นๆ หรือ Social Media ทำให้เกิด Traffic engage อาจส่งผลให้เกิด Direct คือการพิมพ์ URL ของเว็บไซต์โดยตรง ซึ่งกลุ่มนี้มักจะเป็น Royalty ของแบรนด์ เช่น ลูกค้ามองเห็นโฆษณาหรือสินค้าของเราบน Facebook จึงเริ่มมีความสนใจในตัวสินค้าแล้วทำการ search หาข้อมูลเพิ่มเติมจาก Google ซึ่งจะมีการ Display Ads ของเรา อาจทำให้ลูกค้าคลิกเข้าเว็บไซต์ และเกิดการตัดสินใจสั่งซื้อสินค้า เมื่อเกิดความประทับใจจะมีการบอกต่อ เป็นต้น

ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้แนวคิด Basic to Basic ซึ่งมีโมเดลคือ R-A-C-E หรือ R-E-A-C โดยมีความหมายดังนี้

  • R = Reach คือจุดเริ่มต้นการสร้าง Recognize ให้ลูกค้าเห็นเราให้ได้มากและจดจำได้
  • A = Action คือการทำให้ลูกค้าเกิด Action ที่มากกว่าการซื้อของ เช่น การสมัครเป็นสมาชิก
  • C = Convert คือการทำให้เกิดการขาย เพื่อสร้าง Average on Value จากตัวสินค้า เช่นเกิดการบอกต่อแบบปากต่อปาก เกิด Brand Royalty
  • E = Engage คือการโปรโมทอยู่สม่ำเสมอเพื่อให้คนรู้จักมากขึ้น เช่น การอัพเดทบทความ/โพสต์อย่างสม่ำเสมอ เพิ่มปฏิสัมพันธ์เพื่อตอบสนองข้อมูลให้กับผู้ที่ติดตามหรือสนใจ

ซึ่งในการทำ E-commerce มักจะเป็นรูปแบบ R-A-C-E แต่สำหรับ Social Engagement เช่น Facebook อาจเริ่มจาก R ด้วยการเห็น แล้ว A แตกต่างกันไปตามรูปแบบการใช้สำหรับการตลาดแต่ละช่องทาง

แต่อย่างไรก็ตาม ช่องทางการทำการตลาดออนไลน์นั้นมีหลากหลายช่องทาง จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องศึกษากลุ่มเป้าหมายของธุรกิจด้วยการมองภาพ User’s Journey ว่าเป็นอย่างไร จากนั้นค่อยทำการจัดการรูปแบบคอนเทนต์ที่เราต้องการจะนำไปทำการโฆษณาใน Online Marketing ที่ต้องการ ซึ่งสิ่งที่ควรคำนึงคือการเลือกรูปแบบ Ads ให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการโฆษณา

แสดงความคิดเห็นของคุณ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *